หากมีเครื่องตัดไฟรั่วแล้ว
เราจำเป็นต้องติดตั้งสายดินอีกหรือไม่???
บทความนี้มีคำตอบ…………………………..
.
สายดินเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรก
ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องมีสำหรับ
ป้องกันไฟฟ้าดูดเพื่อให้กระแสไฟฟ้า
รั่วไหลลงสายดินสะดวก
โดยไม่ผ่านร่างกาย (ไฟไม่ดูด)
และทำให้เครื่องตัดไฟอัตโนมัติ
ตัดไฟออกได้ทันที
.
เครื่องตัดไฟรั่ว เมื่อใช้กับระบบไฟ
ที่มีสายดินจะเป็นมาตรการเสริม
ความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
เพื่อให้มีการตัดไฟรั่วก่อน
ที่จะเป็นอันตราย
กับระบบไฟฟ้า (ไฟไหม้)
หรือกับมนุษย์ (ไฟดูด)
.
เครื่องตัดไฟรั่วในระบบไฟ
ทีไม่มีสายดิน เครื่องตัดไฟรั่ว
จะทำงานก็ต่อเมื่อมีไฟรั่ว
ไหลผ่านร่างกายแล้ว
(ต้องถูกไฟดูดก่อน)
.
ดังนั้นความ ปลอดภัยจึงขึ้นอยู่
กับความไวในการตัดกระแสไฟฟ้า
.
โดยเครื่องตัดกระแสไฟฟ้ารั่ว
ที่ดีต้องมีความไวเพียงพอ
และสามารถตัดไฟฟ้าได้
ภายในไม่เกิน 0.04 วินาที
.
ขณะเดียวกันจะต้องไม่ไวมากเกินไป
ด้วยเนื่องจากหากทำงานผิดพลาด
ผู้ใช้ไฟฟ้าจะไม่ได้รับประโยชน์
จากเครื่องดังกล่าว
.
ระบบไฟฟ้าที่ดีจึงควรมีทั้ง
ระบบสายดินและเครื่องตัดไฟรั่ว
เพื่อเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน
ให้เกิดความปลอดภัยทั้งจาก
อัคคีภัยและการถูกไฟฟ้าดูดนั้นเอง
ในกรณีทีมี สายดิน และ เครื่องตัดไฟรั่ว จะมีทั้งหมด 4 เคสด้วยกัน
.
.
1. มีสายดิน และ มีเครื่องตัดไฟรั่ว (ตามภาพ)
.
เคส นี้ คนใช้งานจะปลอดภัยที่สุด
เพราะไฟที่รั่วจะไหลลงดินก่
แล้วเครื่อจะตัดไฟทันทีทำ
ไฟไม่ผ่านคนหรือผ่านน้อย
.
.
2. มีสายดิน แต่ไม่มีเครื่องตัดไฟรั่ว
.
เคสนี้ คนจะปลอดภัยเพราะ
ไฟที่รั่วจ
แต่จะเกิดอันตรายกับระบบไฟฟ
เพราะไฟที่ไหลลงดินจะทำให
อาจเกิดไฟไหม้ได้
และจะเสียเงินค่าไฟแพงตามปร
.
.
3. ไม่มีสายดิน แต่มีเครื่องตัดไฟรั่ว
.
เคสนี้คนอาจได้รับอันตราย เพราะ
ไฟจะไหลผ่านตัวคนก่อนชั่วคร
เครื่องตัดไฟรั่วจึงจะทำง
ซึ่งถ้าปริมาณที่ไหลผ่านชั่
คนอาจอันตรายถึงช
.
.
4. ไม่มีสายดินและไม่มีเครื่อง
.
เคสนี้อันตรายที่สุดไม่มี safety อะไรสักอย่าง
คนที่โดนไฟดูดจะโดนเต็มๆ
มีโอกาสเสียชีวิตค่อนข้างสู